GISTDA

หมวดหมู่: Activities

  • เด็กไทยคว้ารางวัลระดับนานาชาติสร้างนวัตกรรมอวกาศไทย ต่อยอดอุปกรณ์ต้นแบบ IoT ในการแจ้งเตือนภัยพิบัติล่วงหน้า ด้วยดาวเทียมระบุตำแหน่งแม่นยำสูง โดย GISTDA ร่วมกับพันธมิตรญี่ปุ่นจัดการแข่งขัน RPD Challenge 2023 ในครั้งนี้

    เด็กไทยคว้ารางวัลระดับนานาชาติสร้างนวัตกรรมอวกาศไทย ต่อยอดอุปกรณ์ต้นแบบ IoT ในการแจ้งเตือนภัยพิบัติล่วงหน้า ด้วยดาวเทียมระบุตำแหน่งแม่นยำสูง โดย GISTDA ร่วมกับพันธมิตรญี่ปุ่นจัดการแข่งขัน RPD Challenge 2023 ในครั้งนี้

    เด็กไทยคว้ารางวัลระดับนานาชาติสร้างนวัตกรรมอวกาศไทย ต่อยอดอุปกรณ์ต้นแบบ IoT ในการแจ้งเตือนภัยพิบัติล่วงหน้า ด้วยดาวเทียมระบุตำแหน่งแม่นยำสูง โดย GISTDA ร่วมกับพันธมิตรญี่ปุ่นจัดการแข่งขัน RPD Challenge 2023 ในครั้งนี้

     
    เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ร่วมกับ National Space Policy Secretariat, Cabinet Office of Japan (CAO) และ Sony Group Corporation จัดการแข่งขัน Rapid Prototype Development (RPD) Challenge 2023 รอบตัดสิน (Final Competition) ณ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย โดยมีน้องๆ ระดับมหาวิทยาลัยอย่าง REC จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คว้ารางวัลชนะเลิศ MGA Awards และรางวัล Sony Sponsor Award ตามด้วยโดยมีทีม Weekl จากประเทศมาเลเซียได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 (Michibiki Award) ในการประกวดครั้งนี้มีรางวัล GISTDA Award จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ ทีม Nong Tang ซึ่งเป็นทีมลูกผสมจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์ และน้องมัธยมจากทีม Haitenshyon โรงเรียนพุนพินพิทยาคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี คว้ารางวัล GISTDA Award โดยนำเสนอนวัตกรรมแก้ปัญหาน้ำท่วมสุดไฮเทคด้วย AI ในการตรวจจับระดับน้ำด้วยอุปกรณ์ ของ SONY และแจ้งเตือนภัยด้วยเทคโนโลยีดาวเทียมระบุตำแหน่ง
    .
    ดร.ดำรงค์ฤทธิ์ เนียมหมวด รองผู้อำนวยการด้านกิจการอวกาศของ GISTDA กล่าวว่า กิจกรรมในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นและไทยในการพัฒนาต่อยอดการใช้เทคโนโลยีอวกาศและอุปกรณ์ต้นแบบ IoT เพื่อพัฒนาต้นแบบการแจ้งเตือนภัยพิบัติล่วงหน้าด้วยดาวเทียมระบุตำแหน่งแม่นยำสูง (Early Warming Service) ทั้งในระดับประเทศและในระดับนานาชาติ ด้วยภัยพิบัติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกของเรา การใช้เทคโนโลยีอวกาศจะช่วยคอยเฝ้าระวัง และแจ้งเตือนทุกภัยพิบัติ ที่สามารถพัฒนาการทำงานร่วมกับมือถือสมาร์ทโฟน นาฬิกา หรืออุปกรณ์แจ้งเตือน เพื่อสามารถแจ้งเตือนได้ทันท่วงทีเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆสามารถแจ้งเหตุภัยพิบัติให้รับรู้โดยทั่วกัน ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียอันเกิดจากธรรมชาติได้อย่างมหาศาล และสำคัญที่สุดคือสามารถแจ้งเตือนด้วยข้อมูลที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับความห่างไกลสัญญาณของพื้นที่ โดยเป็นการแข่งขันแบบเปิดไม่จำกัดอายุและคุณวุฒิการศึกษา ทั้งนี้มีผู้เข้าร่วมการแข่งขันกว่า 40 ทีมทั่วโลก โดยทีมไทยได้รับรางวัลชนะเลิศจำนวน 3 ทีมข้างต้นซึ่งผู้ชนะการแข่งขันในครั้งนี้จะร่วมเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ ประเทศญี่ปุ่น รวมถึงได้รับโอกาสในการร่วมการฝึกงานกับบริษัท Sony เพื่อนำความรู้ที่ได้รับไปต่อยอดได้ในอนาคตต่อไป
    .
    รองผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวต่อว่า การนำเสนอผลงานและสาธิตผลงานนวัตกรรมในครั้งนี้มี 16 ทีมที่ผ่านเข้ารอบมาจะได้ Workshop ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น ผ่านการประกวดการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ใช้อุปกรณ์ต้นแบบ IoT เพื่อพัฒนาต้นแบบการแจ้งเตือนภัยพิบัติล่วงหน้าด้วยดาวเทียมระบุตำแหน่งแม่นยำสูง (Early Warming Service) ทั้งในระดับประเทศและในระดับนานาชาติ ซึ่งผู้ชนะการแข่งขันในครั้งนี้จะได้รับรางวัลจาก MGA Award GISTDA Award Michibiki Award และ Sensing IoT award รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 500,000 บาท และร่วมเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม RPD Booth Camp ณ ภูมิภาคคันไซ รวมถึงโอกาสในการร่วมทำงานกับบริษัท Sony Group Corporation และการสนับสนุนการจับคู่ธุรกิจจากหน่วยงานชั้นนำทั้งในประเทศและญี่ปุ่น ตลอดจนประกาศนียบัตรและความรู้ที่ได้รับจากการแข่งขันเพื่อที่สามารถนำไปต่อยอดได้ในอนาคต
  • ภารกิจ ASIA-AQ ความร่วมมือ NASA-GISTDA นำวิทยาศาสตร์มาแก้ปัญหาประเทศ

    ภารกิจ ASIA-AQ ความร่วมมือ NASA-GISTDA นำวิทยาศาสตร์มาแก้ปัญหาประเทศ

    ภารกิจ ASIA-AQ ความร่วมมือ NASA-GISTDA นำวิทยาศาสตร์มาแก้ปัญหาประเทศ

    หากพูดถึงเรื่องของวิทยาศาสตร์ อวกาศ หรือเอ่ยชื่อหน่วยงานอย่าง NASA ภาพจำหลักที่หลายคนคุ้นชิน อาจเป็นภารกิจการสำรวจจักรวาล มองออกไปยังเป้าหมายต่าง ๆ ที่ไกลออกไปในเอกภพ

    แต่ความจริงแล้ว โลก เป็นดาวเคราะห์ที่ NASA มีการศึกษาและสำรวจมากที่สุด โดยมีไม่น้อยกว่า 26 ภารกิจอยู่ในวงโคจร เช่นเดียวกับการสนับสนุนงานวิจัยต่าง ๆ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อตรวจดูมหาสมุทร แผ่นดิน น้ำแข็ง และบรรยากาศของดาวเคราะห์สีครามดวงนี้

    และในระหว่างวันที่ 16-26 มีนาคม 2024 เครื่องบิน DC-8 และ G-III ของขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ NASA ได้ร่วมขึ้นบินศึกษาบรรยากาศ และตรวจวัดปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพอากาศในประเทศไทย ภายใต้โครงการ Airborne and Satellite Investigation of Asian Air Quality หรือ ASIA-AQ

    โครงการดังกล่าว เป็นความร่วมมือระหว่าง NASA กับ NIER หรือสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติของเกาหลีใต้ ที่ได้ร่วมกันพัฒนาอุปกรณ์ GEMS หรือ Geostationary Environment Monitoring Spectrometer สำหรับตรวจดูมลภาวะของประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเชียได้ระดับรายชั่วโมง โดยออกเดินทางขึ้นสู่วงโคจรค้างฟ้าไปกับดาวเทียม GEO-COMPSAT-2B ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020

    นอกจากอุปกรณ์ GEMS เหนือทวีปเอเชีย ยังมีอุปกรณ์ TEMPO ของ NASA ที่ติดไปกับดาวเทียม Intelsat 40e เพื่อตรวจดูมลภาวะเหนือทวีปอเมริกาเหนือ เช่นเดียวกับดาวเทียม Sentinel-4 ขององค์การอวกาศยุโรป หรือ ESA ที่อยู่ในระหว่างการผลิต ก่อนนำส่งขึ้นไปตรวจดูคุณภาพอากาศและมลภาวะเหนือบริเวณทวีปยุโรป

    แต่เพราะข้อมูลจากดาวเทียมอย่างเดียว ไม่สามารถให้คำตอบเกี่ยวกับมลภาวะหรือคุณภาพอากาศทั้งหมดได้ จึงทำให้โครงการ ASIA-AQ ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง NASA, NIER และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA จะมีการขึ้นบินของเครื่องบิน DC-8 ที่ได้ชื่อว่าเป็น “ห้องปฏิบัติการลอยฟ้า” และเครื่อง G-III ของ NASA เพื่อเก็บข้อมูลและตรวจวัดคุณภาพอากาศตามพื้นที่ต่าง ๆ ในประเทศไทย

    เครื่องบิน DC-8 จะอาศัยการบินโฉบลงใกล้กับรันเวย์ของสนามบินต่าง ๆ อาทิ สนามบินดอนเมือง กรุงเทพฯ สนามบินจังหวัดพิษณุโลก สุโขทัย แพร่ และเชียงใหม่ เพื่อลงเก็บตัวอย่างคุณภาพอากาศเหนือระดับพื้นดิน ที่ความสูงประมาณ 20 ฟุตเหนือรันเวย์ ก่อนไต่ระดับความสูงไม่เกินเพดาน 15,000 ฟุต (ตัวเครื่องสามารถบินได้สูงสุด 42,000 ฟุต ด้วยระยะเวลารวม 12 ชั่วโมงต่อเที่ยวบิน) เพื่อนำข้อมูลที่ได้จากตำแหน่งและระดับความสูงต่าง ๆ มารวมกับการตรวจวัดของดาวเทียมและสถานีภาคพื้นดิน

    ในเวลาเดียวกัน เครื่องบิน G-III จะรักษาเพดานบินไว้ที่ความสูงไม่น้อยกว่า 28,000 ฟุต ตลอดทั้งช่วงการขึ้นบิน ด้วยภารกิจการเก็บข้อมูลคุณภาพอากาศ และตรวจดูแหล่งกำเนิดก๊าซเรือนกระจก ก่อนส่งข้อมูลทั้งหมดให้กับนักวิจัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจถึงองค์ประกอบและคุณภาพอากาศในท้องที่ต่าง ๆ และนำไปบูรณาการแก้ปัญหาด้านมลพิษทางอากาศในประเทศ

    ความร่วมมือระหว่าง NASA, NIER และ GISTDA ในโครงการ ASIA-AQ นั้นสอดคล้องกับแนวทางของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรืออว. ที่ต้องการผลักดันนโยบายให้สามารถช่วยเหลือสังคมได้อย่างแท้จริง โดยนอกจากการขึ้นบินศึกษาคุณภาพอากาศ ยังมีกิจกรรมและความร่วมมือระหว่าง NASA กับ GISTDA เพิ่มเติม ทั้งการอบรวม ถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ไปจนถึงการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้มีความสนใจในด้านวิทยาศาสตร์ อวกาศ

    NASA และ GISTDA ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ NARIT, กรมควบคุมมลพิษ, มหาวิทยาลัยศิลปากร, และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จะร่วมกันวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลจากทั้งดาวเทียม เครื่องบิน และสถานีตรวจวัดภาคพื้น ก่อนเผยแพร่ข้อมูลที่ได้จากโครงการออกสู่สาธารณะภายในเวลาไม่เกินหนึ่งปีจากวันนี้ พร้อมกับเป็นแนวทางในการติดตามสถานการณ์จากแหล่งต่าง ๆ รวมถึงเป็นข้อมูลสำหรับการออกนโยบายและวางแผนบริหารจัดการมลพิษทางอากาศในไทย

    เทคโนโลยีอวกาศ ที่ช่วยให้มนุษย์มองไปไกลสุดขอบจักรวาล ค้นพบโลกใบใหม่มากมาย ก็ยังช่วยให้เราทำความเข้าใจโลกใบนี้ได้ดีกว่าเดิม และเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญเพื่อช่วยหาวิธีการดูแล ปกปักรักษา บ้านหลังเดียวของมนุษย์ไปอีกตราบนาน

    Share:

    Facebook
    Twitter